5 ขัติยพันธกรณี

ขัตติยพันธกรณี
(เหตุอันเป็นข้อผูกพันของกษัตริย์) เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
และพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เป็นกวีนิพนธ์ที่ผู้ใดได้อ่านจะประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
เป็นบทที่มีที่มาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกี่ยวกับความอยู่รอดของประเทศของเรา
เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2436
ไทยขัดแย้งกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนทางด้านเขมร
ฝรั่งเศสส่งเรือปืนแล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ
เข้ามาจอดทอดสมอหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ถืออำนาจเชิญธงชาติฝรั่งเศสขึ้นเหนือแผ่นดินไทย
ตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม
ซึ่งเป็นวันชาติฝรั่งเศสและยื่นคำขาดเรียกร้องดินแดนทั้งหมดทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง
ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้อำนาจปกครองของไทยเนื่องจากไทยให้คำตอบล่าช้า
ทูตปาวีของฝรั่งเศสจึงให้เรือปืนปิดล้อมอ่าวไทย เป็นการประกาศสงครามกับไทย ซึ่งข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส
ได้แก่
1. ฝรั่งเศสในฐานะเป็นมหาอำนาจผู้คุ้มครองเวียดนามและกัมพูชา
จะต้องได้ดินแดนทั้งหมดทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง
2. ไทยจะต้องลงโทษนายทหารทุกคนที่ก่อการรุกรานที่ชายแดน
3. ไทยจะต้องเสียค่าปรับแก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวน 3 ล้านฟรังค์เหรียญทอง
(เท่ากับ 1,560 ,000 บาท สมัยนั้น)
เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
เสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจนทรงพระประชวรหนัก ไม่ยอมเสวยพระโอสถใด ๆ
ในระหว่างนั้นได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ระบายความทุกข์โทมนัสในพระราชหฤทัยจนไม่ทรงปรารถนาที่จะดำรงพระชนม์ชีพอีกต่อไป
ได้ทรงส่งบทพระราชนิพนธ์ไปอำลาเจ้านายพี่น้องบางพระองค์รวมทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ
ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอด้วย เมื่อทรงได้รับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็ทรงนิพนธ์บทประพันธ์ถวายตอบทันที
ทำให้กำลังพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
กลับเสวยพระโอสถ และเสด็จออกว่าราชการได้ในไม่ช้า

ส่วนพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น
เป็นอินทรวิเชียรฉันท์ทั้งหมด
มีเนื้อความแสดงความวิตกและความทุกข์ของประชาชนชาวไทยในพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
สำหรับตัวพระองค์เองนั้น ถ้าเลือดเนื้อของพระองค์เจือยาถวายให้หายประชวรได้ก็ยินดีจะทูลเกล้าฯ
ถวาย ทรงเปรียบประเทศชาติเป็นรัฐนาวา มีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ทรงเป็นผู้บัญชาการเรือ เมื่อมาทรงพระประชวรและไม่ทรงบัญชาการ ผู้กระทำหน้าที่ต่าง
ๆ ในเรือก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ถูก
เป็นธรรมดาเมื่อเรือแล่นไปในทะเลในมหาสมุทรมีบางครั้งอาจเจอพายุหนักบ้างเบาบ้าง
ถ้ากำลังเรือดีก็แล่นรอดไปได้ ถ้าหนักเกินกำลังเรือจะรับก็อาจจะล่ม
พวกชาวเรือก็ย่อมจะรู้กัน ดังนั้นตราบที่เรือยังลอยอยู่ยังไม่จม
ก็ต้องพยายามแก้ไขกันจนสุดความสามารถ
เหมือนรัฐนาวาเจอปัญหาวิกฤติก็ต้องหาทางแก้จนสุดกำลังความสามารถถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับสภาพว่าถึงกรรมจะต้องให้เป็นไป
แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงทอดธุระเสีย ไม่ทรงหาทางแก้ไข
ในที่สุดรัฐนาวาก็ย่อมจะไปไม่รอดต่างกันก็แต่ว่าถ้าพระองค์พยายามหาทางแก้ไขจนเต็มกำลังพระปรีชาสามารถแล้วแก้ไขไม่ได้
ก็ไม่มีใครมาว่าได้ว่าพระองค์ขลาดเขลาและไม่เอาพระทัยใส่ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ
ถึงจะพลาดพลั้งก็ยังได้รับการยกย่องและความเห็นใจว่าปัญหาหนักใหญ่เกินกำลังจะแก้ไขได้
สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ
ทรงเปรียบตัวพระองค์เองเหมือนม้าที่เป็นพระราชพาหนะ
เตรียมพร้อมที่จะรับใช้เทียบหน้าพลับพลา คอยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ประทับและทรงบัญชาการให้ม้าไปทางใด ก็ยินดีจะทำตามพระราชบัญชา
ไม่ว่าจะลำบากหรือใกล้ไกลเพียงใดก็ทรงยินดีรับใช้จนสิ้นพระชนม์ชีพ
ถึงจะวายพระชนม์ก็จะตายตาหลับด้วยได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจที่มีต่อชาติบ้านเมืองสมกับพันธกรณีแล้ว
ทรงขอให้อำนาจแห่งคำสัตย์ของพระองค์ดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ทรงหายจากการประชวรทั้งพระวรกายและพระราชหฤทัย และขอให้สำเร็จพระราชประสงค์ที่ทรงปรารถนา
ให้เหตุที่ทำให้ทรงขุ่นขัดพระราชหฤทัยเคลื่อนคลายเหมือนเวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไป
และขอให้ดำรงพระชนม์ชีพยืนนานเพื่อเกื้อกูลและสร้างความเจริญแก่ประเทศไทยตลอดไป
ลักษณะคำประพันธ์
อินทรวิเชียรฉันท์ และ โคลงสี่สุภาพ
ผู้ประพันธ์
พระราชนิพนธ์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระนิพนธ์
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
“ ตะปูดอกใหญ่ตรึง บาทา อยู่เฮย
จึงบ่อาจลีลา คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้ ส่งข้าอันขยม
”
ในส่วนที่สองของบทพระนิพนธ์นั้นบทเจรจานั้น
จะเริ่มต้นด้วยการกังวลพระทัยในอาการประชวรของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนั้นบทถวายข้อคิดถือนับว่าเป็นส่วนสำคัญในบทพระนิพนธ์เพราะเป็นการให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง
เนื้อความว่าไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็มักจะพบพานอุปสรรคเสมอ
แต่ขอเพียงแต่ไม่ย่อท้อและลุกขึ้นสู้ปัญหานั้นก็จะมลายหายไป
แต่ถ้าเกิดไม่คิดจะลุกสู้ก็นับว่าขี้ขลาด
“ ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน
ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป
ชาวเรือก็ย่อมรู้ ฉะนี้อยู่ทุกจิตต์ใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม
แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม
เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
ผิวทอดธุระนิ่ง บ
วุ่นวิ่งเยียวยาทำ
ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว
ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน
”

คุณค่าด้านสังคม
๑. สะท้อนความคิด ความเชื่อของคนไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี
๒.
ปลุกจิตสำนึกให้คนในชาติหวงแหนรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ให้ดำรงอยู่สืบไปและตระหนักถึงความเหนื่อยยากของบรรพบุรุษที่ต้องยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อรักษาฝืนแผ่นดินนี้ไว้
คุณค่าด้านการเมือง
๑. สะท้อนสภาพทางการเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์เด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน
ดูแลทุกข์สุขของประชาชน
๒.
รัฐบาลไทยพยามยามที่จะหาหนทางต่างๆในการเจรจาต่อรองข้อเรียกร้องต่างๆจากฝรั่งเศส
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑. มีการใช้ฉันทลักษณ์ที่หลากหลายเป็นแบบอย่างของการแต่งลิลิต
๒. ไพเราะด้วยสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสสระและอักษร การเล่นคำซ้ำคำ
๓. มีการใช้ภาพพจน์ต่างๆ ทั้งอุปมา อุปลักษณ์ อัพภาส ฯลฯ
๔.บทนิราศก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจอันเป็นความงามเชิงวรรณศิลป์ได้ดี
๕.
การปิดเรื่องน่าประทับใจ คือ การตั้งจิตอธิษฐานของกวีผู้แต่เป็นบทที่มีผู้จดจำกันได้มากกลับสู่หน้าหลัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น